Loading

ชิมหอยนางรมที่ร้าน The Walrus and The Carpenter เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา

ชิมหอยนางรมที่ร้าน The Walrus and The Carpenter เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา

เมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน (Washington) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อด้านอาหารทะเลมาก โดยเฉพาะในเรื่องความสด อร่อย ของหอยนางรม และหนึ่งในร้านที่ขึ้นชื่อของเมืองซีแอตเทิลในด้านนี้ก็คือร้าน the Walrus and the Carpenter

ภูมิประเทศริมมหาสมุทรแปซีฟิกทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ไล่ขึ้นไปจนถึงรัฐบริทิช โคลัมเบีย (British Columbia) ในประเทศแคนาดา มีลักษณะเป็นแนวฟยอร์ด ที่เกิดจากการถูกธารน้ำแข็งกัดกร่อนตั้งแต่สมัยยุคน้ำแข็ง มีเป็นอ่าวเล็กๆ และทางน้ำแตกแขนงไปเยอะมาก น้ำในบริเวณนี้จะเป็นน้ำกร่อย ซึ่งเกิดจากน้ำจืดที่ไหลลงมาจากหุบเขา ลงมาผสมกับน้ำทะเล และน้ำกร่อยเป็นสภาพน้ำที่เหมาะสมที่สุดกับการเจริญเติบโตของหอยนางรม ทำให้ฟาร์มหอยนางรมเป็นอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อของแถบนี้ เมืองซีแอตเทิล ที่ตั้งอยู่ในบริเวณ Puget Sound ก็อยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ร้านอาหาร the Walrus and the Carpenter เป็นร้านที่มีชื่อเสียงด้านอาหารทะเลในเมืองซีแอตเทิล เชฟ Renee Erickson เปิดร้านนี่ขึ้นเมื่อปี 2010 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ชื่อของร้านมาจากบทกวีที่แต่งโดย Lewis Carroll ที่มีชื่อเดียวกัน ปัจจุบันร้าน the Walrus and the Carpenter ได้รับรางวัลมากมาย เช่น Top 10 Seafood Restaurants in the US, Best Restaurants และ Most Important Restaurants in America

The Bears ได้มีโอกาสแวะเวียนมาแถวเมืองซีแอตเทิลอีกครั้งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และไหนๆมาถึงแล้ว ก็ต้องหาอาหารทะเลอร่อยๆกินกันสักมื้อ เราทั้งสองคนเคยมากินที่ร้าน the Walrus and the Carpenter มาก่อนแล้ว แล้วก็ติดใจในความสดอร่อยของอาหารร้านนี้มาก จึงตกลงกันว่าจะกลับไปกินกันอีกรอบ

ตัวร้านตั้งอยู่ในตึก Kolstrand ในย่าน Ballard ใช้เวลาขับรถประมาณ 20 นาทีจากใจกลางเมืองซีแอตเทิล สามารถจอดรถได้ฟรีริมถนน Ballard Ave NW หน้าร้าน The Bears แนะนำว่าให้ขับอ้อมมาทางหลังร้านบนถนน Shilshole Ave NW จะมีลานจอดรถเล็กๆ อยู่ติดหลังร้านเลย

เรา The Bears ทั้งสองคนมาถึงร้านประมาณสามทุ่มครึ่ง พนักงานร้านพาเราไปนั่งส่วนบริเวณที่เป็นบาร์โดยไม่ต้องรอ ร้านนี้มีชื่ออีกอย่างคือ คิวรอ! ทางร้านไม่รับจองโต๊ะล่วงหน้า ต้องมาลงชื่อเข้าคิวที่ร้านเท่านั้น ถ้ามาในช่วงเวลาหัวค่ำที่เป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของร้าน อาจจะต้องใช้เวลารอโต๊ะถึงสองชั่วโมงเลยที่เดียว ถ้าต้องรอคิว The Bears แนะนำให้ไปรอที่ร้านตรงข้ามประตูทางเข้า ชื่อร้าน Barnacle Bar ซึ่งก็มีเชฟ Renee Erickson เป็นเจ้าของเช่นกัน

ด้านในร้าน the Walrus and the Carpenter มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีตัวบาร์วางตัวจากประตูทางเข้า โค้งเข้าไปทางด้านหลังร้านเป็นรูปตัวแอล และมีโต๊ะสูงติดริมพนังกำแพงสองฝั่ง ทางร้านมีบริเวณที่นั่ง patio ด้านนอกเล็กๆด้วย ประมาณโดยสายตา The Bears คิดว่าสามารถจุคนมาทานอาหารได้ประมาณ 40 คน ครัวของร้านเป็นครัวเปิด ถ้านั่งตรงบาร์สามารถมองเห็นเชฟเตรียมอาหารต่างๆได้ ที่เด่นที่สุดก็คือพนักงานที่ยืนแงะหอยนางรมอยู่

ทางร้านจะใส่รายชื่อหอยนางรมจะแหล่งต่างๆไว้ในรายการอาหาร ซึ่งรายการอาหารนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามวัน แล้วแต่ว่าจะมีหอยนางรมจากที่ไหนเข้ามา และอาหารทะเลสดที่ร้านมีในวันนั้น หอยนางรมส่วนใหญ่ที่ร้านเตรียมไว้ให้บริการจะมาจากบริเวณใกล้เคียงเมืองซีแอตเทิล และรัฐวอชิงตัน บางวันก็จะมีมาจากที่รัฐออริกอน หรือจากรัฐบริทิช โคลัมเบียในประเทศแคนาดาด้วย คราวนี้ Papa Bear สั่งมาแบบแหล่งละหนึ่งตัว จะได้ลองเทียบได้ว่ารสชาติต่างกันอย่างไร พอสั่งเสร็จ ทางพนักงานก็จะเอากระดาษแผ่นเล็กๆที่เขียนรายชื่อแหล่งหอยนางรมที่เราสั่งไว้มาส่งให้ รายชื่อจะเริ่มตั้งแต่หอยนางรมจากแหล่งที่มีรสชาติอ่อนๆ ไล่จนไปถึงแหล่งที่รสชาติเค็มมาก

อาหารหลากหลายแบบที่ The Walrus and the Carpenter


หลังจากสั่งอาหารเสร็จ เรา The Bears ทั้งสองคนก็นั่งดูพนักงานยืนแงะหอยนางรมด้วยความรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่เพียงแค่ไม่กี่วินาที ต่อหอยนางรมหนึ่งตัว เรารอกันได้ไม่นานพนักงานก็เอาจานใส่หอยนางรมที่เราสั่งมาวางไว้ให้ หอยนางรมที่สั่งทั้งหมดถึงวางลงบนจานกลมใบใหญ่ จัดลำดับเหมือนในรายชื่อที่พนักงานเขียนไว้ให้ตอนแรก โดยไล่จากรสชาติอ่อนที่สุด ไปจนถึงเค็มที่สุด โดยเริ่มนับตั้งแต่ชิ้นมะนาวเลมอนที่หั่นวางไว้ แล้วไล่ตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ

เนื่องด้วยหอยนางรมเป็น filter feeder เจริญเติบโตด้วยการดูดน้ำผ่านตัวและดักจับแพลงค์ตอน และแร่ธาตุอื่นๆในน้ำ สภาพน้ำที่หอยนางรมอาศัยอยู่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลถึงรสชาติหอยนางรมจากแต่ละแห่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ถูกเลี้ยงห่างกันออกไปไม่ไกลมาก ก็สามารถมีรสชาติที่ต่างกันไปได้

ทางร้านเสิร์ฟหอยนางรมสด พร้อมกับชิ้นมะนาวเลมอน ซอสน้ำส้มไวน์แดง และ horseradish ฝนละเอียด งานนี้ Mama Bear ไม่กินหอยนางรม ก็เลยต้องนั่งจ้อง Papa Bear กินอย่างเอร็ดอร่อย

หอยนางรมที่เราสั่งกัน มีชื่อ บริษัทจำหน่าย และที่เพาะเลี้ยงตามนี้

  • Penn Cove – Penn Cove Shellfish – Samish Bay, WA
  • Hama Hama – Hama Hama Oyster Co. – Hood Canal, WA
  • Judd Cove – Marinelli Shellfish – Orcas Island, WA
  • Sea Nymphs – Hama Hama Oyster Co. – Hammersley, WA
  • Snow Creek – Port Discovery Seafarms – Discovery Bay, WA
  • Baynes Sound – Penn Cove Shellfish – East Vancouver Island, BC
  • Dabob Bay – Dabob Bay Oyster Co. – Dabob Bay, WA

อาหารจานที่เราสั่งต่อไปมาจากหมวด Garden ในรายการอาหาร เป็นผักกาดหอม frisee กองพูนสูงขึ้นมา พร้อมด้วยชีส pecorino ฝานบางๆ และเมล็ดควินัว (quinoa) เพิ่มรสด้วยซอสครีมแอนโชวี (anchovy) จานนี้ The Bears คิดว่าตัวซอสมันรสชาติแรง และเค็มมากเกินไปนิดหน่อย กลบรสชาติอย่างอื่นหมด

จานต่อไปก็มาจากหมวด Garden อีกเช่นกัน เป็นหัวบีทรูทย่าง ผสมกับรากขึ้นฉ่ายฝรั่ง (celery) เสิร์ฟพร้อมซอส tonnato เพิ่มความกรอบด้วย parsnip chips จานนี้ The Bears ชอบมาก โดยเฉพาะตัวบีทรูทที่มีความหวานอร่อย

หลังจากนั้นพนักงานก็ยกนำ scallop crudo มาวางให้ จานนี้เป็นเนื้อหอยเชลล์สดหั่นเป็นชิ้น วางไว้บน parsnip บด ราดด้วยไข่ปลาแซลมอน (ikura) ต้นกระเทียมหั่นฝอย (leek) และมะนาวเลมอนดอง จานนี้เป็นจานที่อร่อยมากอีกจานหนึ่ง หอยเชลล์นั้นสด และหวานมาก ไม่มีกลิ่นคาวเลย เสริมด้วยรสเค็มที่ระเบิดเวลาเคี้ยวไข่ปลาแซลมอนแตก

อาหารจานต่อไปเป็น spot prawn crudo หรือ กุ้งลายจุดสดๆ มาพร้อมกับเปลือกกุ้งทอดกรอบ จานนี้จะออกเป็นรสชาติแนวเอเชีย โดยรสหลักมาจากผักกิมจิ และน้ำซุปดาชิ

ในตอนแรก The Bears หวังว่าจะได้สั่งหมึกยักษ์ octopus ย่าง เพราะจานนี้เป็นจานโปรดของเรารอบที่แวะมาคราวก่อน แต่รอบนี้โชคไม่เข้าข้าง ระหว่างที่เรากำลังสั่ง พนักงานก็ชี้ให้ดูเชฟที่กำลังเอาจานสุดท้ายของร้านส่งไปเสิร์ฟ 🙁

อาหารคาวจานสุดท้ายของเราวันนี้เป็นจานเด่นที่มีชื่อของร้าน นั่นคือสเต็กทาร์ทาร์ (tartare) หรือสเต็กเนี้อดิบนั่นเอง โดยทางร้านจะเอาเนื้อไปหั่นละเอียด ผสมกับสมุนไพรต่างๆ ปรุงให้ได้รส หลังจากนั้นก็จัดวางลงบนจาน โปะด้วยไข่แดงดิบ ผลึกเกลือ และ ขนมปังข้าวไรย์ปิ้งกรอบ เวลาทานก็จิ้มไข่แดงให้แตก แล้วคนผสมกับเนื้อ และทานพร้อมกับขนมปัง

เราปิดท้ายกันด้วยขนมหวาน พุดดิ้งขนมปังกลิ่นเมเปิล เสริฟพร้อมกับซอสเนสกลิ่นกาแฟเอสเปรสโซ่ จานนี้เรา The Bears ไม่ได้ประทับใจมากเท่าไหร่ ตัวซอสมีรสชาติออกไหม้นิดหน่อยด้วยซ้ำ

ค่าอาหารทั้งหมดตกแล้วอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐถ้วน ร้านนี้ไม่ต้องจ่ายทิปเพิ่ม เพราะทางร้านได้รวมค่าบริการ 20% ไว้ในบิลแล้ว

The Bears คิดยังไง


เรายังคงคิดว่าร้าน The Walrus and the Carpenter เป็นหนึ่งในร้านอาหารทะเลที่ดีที่สุดในเมืองซีแอตเทิล พนักงานเรียบร้อย สุภาพ สามารถแนะนำ และอธิบายอาหารได้อย่างละเอียด ที่เด่นและขึ้นชื่อที่สุดของร้านก็คือหอยนางรมสด ที่ทางร้านคัดมาจากหลายๆแหล่งในบริเวณใกล้เคียง Papa Bear คิดว่าถ้าคุณได้มาชิมหอยนางรมโดยเลือกหลายๆแบบมาทดลอง คุณจะแปลกใจว่าหอยจากแต่ละแหล่งจะมีรสชาติเฉพาะตัวของมันเอง

อย่าลืมว่าถ้าคิดจะแวะมา ทางร้านไม่รับจองโต๊ะล่วงหน้า จะต้องมาเขียนชื่อรอคิวที่ร้านเท่านั้น และอาจจะต้องรอเป็นชั่วโมงในช่วงที่ร้านยุ่ง ถ้าไม่อยากจะต้องรอคิวนาน The Bears แนะนำให้มาตอนร้านเปิด หรือไม่ก็มาตอนเกือบร้านปิด แต่อาหารบางอย่างอาจจะหมดได้ และด้วยตัวร้านเองมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ร้านนี้อาจจะไม่เหมาะถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่เกิน 4 คนขึ้นไป

ถ้าคุณชอบหอยนางรม คุณควรมาตอนช่วง Happy Hour ทุกวันจันทร์ ถึงวันพฤหัส ตั้งแต่เวลาสี่โมงเย็นจนถึงหกโมง โดยในช่วงนี้ทางร้านจะลดราคาหอยนางรม 50% ระหว่างสี่โมงถึงห้าโมง และลด 25% ระหว่างห้าโมงถึงหกโมงเย็น

ข้อมูลการถ่ายภาพ

ภาพทั้งหมดถูกถ่ายด้วยกล้อง Sony a7R II และเลนส์ Sigma 20mm f/1.4 DG HSM Art โดยใช้สภาพแสงปกติทั่วไป และปรับแต่งรูปด้วยโปรแกรม Adobe Photoshop Lightroom CC.

อ่านริวิวเลนส์ Sigma 20mm F1.4 ได้ที่นี่

อุปกรณ์

  • Sigma 20mm F1.4 DG HSM Art | $899 | Available at Adorama, Amazon
  • Sony a7R II Full Frame Mirrorless Body | $3,198 | Available at Adorama, Amazon
  • Metabones Mark IV Smart Adapter for Canon EF lens to Sony E-Mount Camera | $399 | Available at Adorama, Amazon

ข้อมูลสถานที่ – The Walrus and The Carpenter, Seattle, Washington

Address: 4743 Ballard Ave NW, Seattle, WA 98107
Website: http://www.thewalrusbar.com/

รวมภาพ

Comments

comments

This post is also available in: อังกฤษ

Comments are closed here.